Windows เป็นหนึ่งในระบบปฏิบัติการ (Operating Systems) ที่ได้รับความนิยม ปัจจุบันก็มาถึงเวอร์ชันใหม่ล่าสุดได้แก่ Windows 8 วันนี้เรามาดูกันในเรื่องของลิขสิทธิ์ใช้งาน Windows 8 สำหรับ Windows 8 ที่ออกมามีหลายรุ่นหรือที่เรียกว่า Edition นั้นมีวางขายอยู่ตามตลาดทั่วไปนั้น โดยหลักๆ ก็มี
– Windows 8 Basic Editions
– Windows 8 Professional
– Windows 8 Enterprise
– Windows RT
แต่ละตัวก็มีความสามารถที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่งานที่ใช้ รวมไปถึงราคาของก็แตกต่างด้วย ซึ่งถ้าเรามองจากชื่อของ Edition ของ Windows 8 อย่างเช่น ใช้งาน Windows 8?Enterprise ก็พอมองออกว่าเป็น Edition ที่สูงที่สุดมีฟังก์ชันมากที่สุดรวมอยู่ แต่สำหรับบทความนี้ไม่ได้มาบอกว่าแต่ละ Edition ต่างกันอย่างไร แต่จะมาให้ขอมูลด้านลิขสิทธิ์ (License)
รูปแบบลิขสิทธิ์ที่ Windows 8 ขายอยู่ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ …
1. Volume Licensing (แบบซื้อจำนวนมาก)
แบบลิขสิทธิ์ประเภทนี้ มีกำหนดว่าจะต้องซื้อจำนวนขั้นต่ำ 5 Licenses สำหรับการซื้อครั้งแรก สามารถใช้งาน Windows 8 ได้กับคอมพิวเตอร์ 5 เครื่องด้วยกัน โดยรูปแบบการใช้แบบนี้จะเป็นแบบที่เรียกว่า Open License เหมาะสำหรับ องค์กรธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs – Small Medium Enterprises) หรือองค์กรขนาดใหญ่?เนื่องจากผู้ซื้อจะต้องซื้อเป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่าคิดจะซื้อมาใช้แค่เครื่องเดียวหรือสองเครื่องคงจะไม่คุ้มค่า
โดยลิขสิทธิ์ประเภทนี้ จะมีลักษณะของระยะเวลาที่กำหนด เช่น รูปแบบลิขสิทธิ์แบบ?1 ปี เป็นต้น ซึ่งภายในระยะเวลา 1 ปี ที่อยู่ในสัญญา ผู้ซื้อสามารถรับสิทธิ์ในการอัพเกรด (Upgrade) ผลิตภัณฑ์ ของ Windows ได้ รวมไปถึงสิทธิ์ในการอัพเดท (Update) เช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากหมดสัญญาสิทธิ์เหล่านี้ก็จะหมดลงไปทันที
สำหรับ License Key ที่ทางไมโครซอฟท์ให้มาก็จะให้มาเป็นตัวเลขชุดเดียวกัน เช่น ซื้อมา 10 Licenses ?ก็จะได้มาแค่ชุดเดียว โดยนำ Authorization Number และ License Number ที่ได้มาไปสร้าง(Generate) บนเว็บไซต์ของ Microsoft สำหรับการเข้าไปสร้าง Product Key เพื่อนำไปใช้ในแต่ละเครื่องทั้งหมด 10 เครื่อง
สำหรับสิทธิ์ในการอัพเกรดในที่นี้จะเป็นลักษณะนี้ เช่น ใช้รูปแบบลิขสิทธิ์ประเภท Open License อยู่โดยซื้อ?Windows 7 Professional มาและระหว่าง 1 ปีที่อยู่ในระยะเวลาของสัญญายังไม่หมด ทางไมโครซอฟท์เกิดออก Windows 8 ออกมา ท่านจะได้รับสิทธิ์ในการอัพเกรดเวอร์ชันทันที ซึ่งทางไมโครซอฟท์จะทำการส่งแผ่นอัพเกรดหรือที่เรียกกันว่า Disk Kit (จะเป็นแค่แผ่นๆ เดียว แต่สามารถใช้ได้กับทุกเครื่องที่ซื้อ License)?โดยจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆแบบนี้ เป็นต้น
คำว่า Open License ตามที่กล่าวมาแล้วนั้นความจริง Open License เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ Volume Licensing เท่านั้น?เป็น Licenses ใช้งาน Windows 8 ที่เหมาะกับพวก บริษัท หรือ ห้างร้าน มากกว่า?ความจริงแล้วเรื่องการซื้อแบบ Volume มีหลายแบบ?มีทั้งแบบซื้อขาด (Perpetual) และ เช่าใช้ (Leasing / Subscription) แล้วแต่ความต้องการของผู้ซื้อที่ไมโครซอฟท์มีบริการให้ คราวนี้เรามาลงรายละเอียดชนิดของ Volume Licensing กันว่าแต่ละแบบต่างกันอย่างไร
- ?Open Licenses
มีขายแบบทั้ง License แบบปกติคือไม่ต้องการการอัพเกรด ใช้งาน Windows 8 แต่ถ้าอยากได้การ Upgrade ด้วย จะต้องซื้อพร้อมกับสิ่งที่ทางไมโครซอฟท์เรียกว่า Software Assurance (SA) หรือ การรับประกันสินค้า ซึ่งในการรับประกันสินค้าของซอฟต์แวร์นั้น การรับประกันสินค้าก็คือการได้รับสิทธิ์ Upgrade นั้นเอง?โดยการประกันสินค้าอายุแค่ 2 ปีเท่านั้น แต่ก็สามารถต่ออายุภายหลังได้
- Open Values
เป็น Licenses แบบมี Software Assurance (SA) ผูกมัดมากับสัญญา (บังคับซื้อ)?Licenses แบบนี้ราคาจะถูก
- ?Open Value Subscriptions
?เป็น Licenses แบบเช่าใช้ เพิ่ม-ลดได้ตามขนาดของ องค์กร หรือ บริษัท?ก็จะได้ Licenses + SA (Software Assurance)ตลอดระยะเวลาที่ทำ Subscription อยู่?แต่ Licenses จะไม่ใช่ของลูกค้ายกเลิก เมื่อไหร่ก็ต้องเลิกใช้เมื่อนั้นมี
?ข้อดี
– สะดวกง่ายแก่การอัพเกรดเวอร์ชันหรือัพเดทข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เรื่อยๆ เรียกว่าไมโครซอฟท์บริการตลอดไม่ว่าจะออกเวอร์ชันใหม่ Patch หรือ Service Pack ใหม่มา
– สามารถย้ายเครื่องลงได้ไม่ยึดติดอยู่กับเครื่องใดเครื่องหนึ่ง แต่จะต้องอยู่ภายในจำนวน License ที่ซื้อมา เช่น ซื้อมา 5 ก็ต้องลงเครื่องแค่ 5 เท่านั้น (มีการตรวจสอบออนไลน์)
ข้อเสีย
– ราคาค่อนข้างสูง
– ต้องซื้อเป็นจำนวนมากเท่านั้น แบบนั้นไม่คุ้ม
– มีระยะเวลาที่กำหนด เมื่อใดหมดระยะเวลาไปสิทธิ์ต่างๆ ที่เคยได้รับจะหายไป
2.?OEM?License
การใช้งาน Windows 8 สำหรับ OEM?License หรือรูปแบบลิขสิทธิ์ประเภท OEM ซึ่งย่อมาจากคำว่า Original Equipment Manufacturer ?รูปแบบลิขสิทธ์แบบนี้เมื่อเทียบกับรูปแบบอื่นๆ นั้น แบบนี้ถือว่าราคาถูกที่สุด แต่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขอยู่พอสมควร ดังนี้
1. สามารถติดตั้งได้แค่เพียง 1 เครื่อง ใช้งาน Windows 8?ต่อ 1 License
2. เมื่อติดตั้งลงเครื่องแรกไปแล้ว จะไม่สามารถนำไปลง เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องอื่นได้เลย เครื่องเสีย License ก็หายไปด้วย
3. ในกรณีมีการอยากอัพเกรดหรือเปลี่ยนอุปกรณ์บางส่วนของเครื่องจะมีปัญหา ด้วยสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลยคือ CPU และตัวเมนบอร์ด เนื่องจากในทางคอมพิวเตอร์การเปลี่ยน CPU และเมนบอร์ดตัววินโดวส์จะถือว่าเป็นการเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นหรือเครื่องใหม่ ดังนั้นถ้าสองตัวนี้เสียขึ้นมา คุณจะต้องซื้อลิขสิทธิ์ใหม่และของเก่าก็ต้องทิ้งครับ
4. ผู้ซื้อจะต้องเลือกวินโดวส์ให้ถูกต้องในเรื่อง 32 บิตหรือ 64 บิต จะไม่สามารถมาเปลี่ยนใจกันทีหลังได้ เช่น ซื้อแผ่น OEM?แบบ?32 Bits มาใช้ แล้วมาเปลี่ยนใจ อยากจะใช้ 64 บิตไม่ได้ ต้องซื้อใหม่สถานเดียว
ข้อดี
– ราคาถูกที่สุดในรูปแบบลิขสิทธิ์ที่มีอยู่ทั้งหมด
– ความสามารถทุกอย่างเหมือนกับรูปแบบลิขสิทธิ์แบบอื่นๆ
ข้อเสีย
– มีข้อจำกัดต่างๆ อยู่มากตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
– มีความเสี่ยงสูงเพราะ CPU?และเมนบอร์ดของคุณจะต้องไม่เสียเลยตลอดอายุการใช้งาน
-ไม่สามารถเปลี่ยนชนิด บิต(Bit) ได้ภายหลังได้ เช่น 32 ขึ้นไป 64 บิต หรือ 64 ลงมา 32 บิต ซื้อแล้วซื้อเลยเปลี่ยนไม่ได้
3. FPP?(Full Package Product) หรือแบบกล่อง
ใช้งาน Windows 8 แบบสุดท้ายนี่คือแบบ FPP?หรือเรียกว่า Full Package Product ที่ทั่วไปจะเรียกว่า BOX สำหรับคุณสมบัติของรูปแบบลิขสิทธิ์แบบ FPP นั้นก็เหมือนประเภทอื่นๆ แต่ว่าซื้อมา 1 กล่องก็ได้ 1 License แต่แตกต่างกับ OEM คือสามารถย้ายเครื่องไปลงที่เครื่องอื่นได้ตลอดไม่มีวันหมดอายุ
ปกติ FPP ใน 1 แพคเกจ (Package) จะมีแผ่น DVD อยู่ 2 แผ่น ทั้งแบบ 32 Bits (X86) และ 64 Bits (X64) ให้เลือกลงได้อย่างใดอย่างนึงได้ตามใจชอบ แต่มี Product Key ตัวเดียวนะครับ
ข้อดี
– เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใช้ตามบ้านเนื่องจากสามารถลงที่เครื่องไหนก็ได้
– หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด
– สนับสนุนระบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ทั้งจาก 32 ไป 64 หรือ 64 มา 32 ได้ เนื่องจากภายในกล่องมีให้มา 2 แผ่น ทั้งนี้ยังมีสิทธ์ดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้จากบนเว็บไซต์ในกรณีแผ่นเสียหรือหาย
ข้อเสีย
– ราคาจะสูงกว่าแบบ OEM
หมดแล้วครับสำหรับความรู้เรื่องลิขสิทธิ์ของ Windows 8 ท่านผู้อ่านก็ตัดสินใจเอาเองนะครับว่า ตัวท่านนั้นเหมาะกับการใช้งาน Windows 8 แบบใดแต่มีอย่างนึงที่อยากจะแนะนำคือ ซื้อของที่มีลิขสิทธิ์เถอะครับ ไม่ยุ่งยากตัดความลำคาญในการใช้งานเพราะเป็นของแท้ จะได้การสนับสนุนช่วยเหลือจากไมโครซอฟท์เต็มที่ โดยส่วนตัวสำหรับผู้เขียนตอนนี้ยังใช้รุ่นทดลองอยู่ก็จริง แต่บอกได้ว่าซื้อของแท้มาใช้แน่ๆ เพราะปัจจุบันก็ใช้ Windows 7 Ultimate ของแท้อยู่ (ลงแบบ dual boot)
?แหล่งข้อมูล : ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย