เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่น่าสนใจและหลายๆ คนคงอยากจะได้มาใช้งาน กับ?MacBook Air?(Mid 2011)?ที่จัดได้ว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 5 ของ MacBook Air แล้ว
?
ซึ่งทางทีมงาน Notebookspec ได้มารีวิวนะครับ แต่ก่อนอื่นคงต้องแนะนำให้รู้จักรุ่นต่างๆ ของ?MacBook Air?(Mid 2011)?ให้ทราบกันก่อนะครับ โดยแบ่งออกเป็น 4 รุ่น 4 สเปกด้วยกัน แบ่งเป็นรุ่น 11? 2 รุ่น และ 13? 2 รุ่น ราคาก็มีตั้งแต่ 32,900 ? 52,900 บาท?สำหรับในการีวิวครั้งนี้ เราได้ในส่วนของรุ่นขนาด 13? ?ราคา 42,900 บาท สเปกคร่าวๆ จะเป็นชิปประมวลผล Core i5 แบบประหยัดพลังงานพิเศษความเร็ว 1.7GHz กราฟิก Intel HD Graphics 3000?แรมขนาด 4GB พร้อมฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ?128GB มาทดสอบนะครับ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรุ่นที่จัดว่าคุ้มค่าพอดีเมื่อเทียบกับสเปกต่อราคาแล้ว รองลงมาก็คงจะเป็น ตัว 11? ราคา 33,900 บาท ส่วนอีก 2 รุ่นที่เหลือดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก ด้วยขนาดรุ่น 32,900 บาท มีแรมที่ติดมากับเครื่องน้อยเกิน ส่วนรุ่นที่แพงที่สุดราคา 52,900 บาท มีเพียงความจุ SSD ที่เพิ่มเข้ามาเพียงอย่างเดียว
แม้ว่าอาจจะช้าหน่อยสำหรับการีวิว ?MacBook Air?(Mid 2011)?ในครั้งนี้ถ้าเทียบกับวันเวลาที่เปิดตัว แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ถือได้ว่าเป็นช่วงเปิดตัว Ulrtabook รุ่นใหม่ๆ อยู่พอดี ที่จะว่าไปแล้วแนวคิดก็น่าจะมาจาก MacBook Air อย่างเสียมิได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความบาง ดีไซน์ และคุณสมบัติการใช้งานต่างๆ
?
หลังจากที่ Apple ออก MacBook Air มาได้ถึง 4 เจนเนอเรชั่น ซึ่งในมีการเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ในเจนเนอเรชั่นที่ 4 แล้ว แน่นอนว่าในเจนเนอเรชั่นที่ 5 นี้ จัดว่าเป็นตัวแรกที่ทาง Apple เลือกใช้งานชิปประมวลผล Intel Core i เป็นครั้งแรก จากรุ่นก่อนๆ ที่เป็นเพียง Core 2 Duo ความเร็วต่ำเท่านั้น ทำให้ประสิทธิภาพความเร็วนั้นมีความเร็วที่มากขึ้นอย่างเป็น 2 เท่าตัว นอกจากนั้นได้มีการเพิ่มในส่วนของการเชื่อมต่อความเร็วสูง Thunderbolt เข้ามา และมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ OS X รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง 10.7 Lion อีกด้วย ?
ยังไงก่อนจะเข้าสู่บทความรีวิวคงต้องมาแนะนำให้รู้จักกับ?MacBook Air?(Mid 2011)?กันซะหน่อย เผื่อว่าใครอาจจะยังไม่ทราบกัน?MacBook Air เป็นโน๊ตบุ๊คสุดบางที่ทาง Apple ได้ผลิตขึ้นมา โดยมีดีไซน์ที่บางและมีน้ำหนักเอา ใช้วัสดุในการผลิตที่แข็งแรงอย่างอะลูมิเนียม?Unibody ได้รับการออกแบบที่หรูหราเป็นพิเศษ มีจอภาพและคุณภาพความละเอียดที่สูง ให้สีสันและมุมมองภาพที่สมจริง มีความเร็วในการประมวลที่สูงรองรับการใช้งานพื้นฐานจนไปถึงการทำงานระดับสูงได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมทั้งยังใช้ระบบปฏิบัติการที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง Mac OS X 10.7 Lion ที่เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด แน่นอนว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่น่าประทับใจ แบบที่จะหาในโน๊ตบุ๊ค Windows ไม่ได้
แต่ในส่วนของตัวของ ?MacBook Air?(Mid 2011)?ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ก็ยังมีอยู่ข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB ที่มีมาให้ยังเป็น 2.0 อยู่ ?ไม่ใช่ USB 3.0 แต่อย่างใด
สำหรับแพ็คเกจของ?MacBook Air?(Mid 2011)?นี้มาพร้อมกับกล่องสไตล์ Apple ที่ดูสะอาดตา ขนาดกระทัดรัด มีภาพตัวเครื่องขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าของกล่อง แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีหูหิ้วมาให้อย่างในส่วนของกล่อง MacBook Pro จึงทำให้เราต้องหาถุงใส่อีกชั้นหนึ่ง เพื่อที่จะหิ้วกลับมาถึงบ้านได้?
พอเปิดมาข้างในก็พบกับตัวเครื่อง?MacBook Air?(Mid 2011)?ที่หุ้มด้วยพลาสติก ด้านข้างก็จะมีอุปกรณ์เสริมอย่างพวก Power Adapter ที่เป็น MagSafe พร้อมทั้งหัวเปลี่ยนปลั๊ก AC สองหัว ส่วนคู่มือการใช้งานและสติกเกอร์ Apple ที่คุ้นเคยจะอยู่ใต้เครื่อง??
แต่สำหรับแผ่น DVD ระบบปฎิบัติการ Mac OS X Lion รวมถึงชุดโปรแกรม iLife ?11 จะไม่มีมาให้นะครับ เพราะตัวของ?MacBook Air?(Mid 2011)?เอง ได้มีการติดตั้งมาพร้อมใช้งานมาอยู่แล้ว??
?เป็นอะไรที่น่าแปลกใจมากๆ เพราะคู่มือของ?MacBook Air?(Mid 2011)ที่มีมาให้เป็นภาษาไทยครั้งแรก ในสินค้าตระกูล Mac โดยภายในคู่มือก็จะเป็นภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบซึ่งก็น่าจะช่วยให้มือใหม่สามารถหาวิธีใช้งานเบื้องต้นได้พอสมควร แต่ก็แอบติดขัดนิดหน่อยตรงการแปลคำยังดูตรงจนเกินไป อาทิ ?Mission Control? ก็แปลตรงๆ เป็น ?ควบคุมภารกิจ? ซะงั้น เล่นแอบฮาเล็กๆ เหมือนกัน
อีกอย่างที่เป็นเรื่องน่าเสียดาย ก็คือในกล่องจะไม่มีการแถม USB Install Drive มาให้แต่อย่างใด ซึ่งใครที่อยากจะได้ Lion แบบ USB Drive ก็ต้องแสดงความเสียใจด้วย เพราะใน Mac รุ่นใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับ OS X Lion หากต้องการจะติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ก็ต้องใช้ระบบ Lion Recovery แทน ดังนั้นเราจึงสามารถสร้าง USB Install Drive เองได้ หรืออาจจะรอซื้อ Lion USB Install Drive ที่ทาง Apple จะทำมาแยกขายก็ได้ที
MacBook Air (Mid 2011)?ยังมาพร้อมกับดีไซน์ที่ไม่เปลี่ยนไปจาก MacBook Air (Late 2010)?ตัวก่อนหน้านี้ซักเท่าไหร่นัก ในเรื่องของการดีไซน์ออกแบบตัวเครื่องที่ยังเดิมๆ อยู่ เรียกได้ว่าดูจากภายนอกแบบผ่านๆ เราจะไม่สามารถแยกแยะออกได้เลยครับ ว่าตัวไหนเป็นรุ่นเก่า ตัวไหนเป็นรุ่นปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นปกติตามแนวทางของ Apple อยู่ ?
โดยในการดูว่าตัวไหนเป็น?MacBook Air?(Mid 2011)?ถ้าไม่ดูจากสเปกภายในหรือปุ่มคีย์บอร์ดฟังก์ชั่น ก็จำเป็นต้องใช้ในที่ที่มีแสงน้อย เพราะไฟคีย์บอร์ดแบบ backlit ติดสว่างขึ้นมาให้พร้อมใช้งานได้สะดวก เพราะใน MacBook Air (Late 2010) เป็นสิ่งที่ไม่มีมาจากการที่ Apple ตัดออกไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
คงเอกลักษณ์ไว้เหมือนเดิมกับฝาหลังจะเป็นโลโก้ Apple แบบมีไฟเปล่งแสง ด้วยหลอดไฟ LED ของหน้าจอ
ตัวเครื่องขนาด 13.3 นิ้วนั้นมีขนาดที่ไม่แตกต่างจาก Apple MacBook Pro 13 มากนัก แต่ในเรื่องของความบางแน่นอนว่าต่างกันเป็นอย่างมาก ส่วนงานประกอบแน่นหนา แข็งแรงดี สัมผัสแล้วรู้สึกมั่นใจ ตามสไตล์ของ Apple ?โดยเลือกใช้แต่วัสดุชั้นดีอย่างอะลูมิเนียม Unibody แบบทั้งตัวไร้รอยต่อ
?
สำหรับบานพับอยู่ตรงกลางจุดเดียวขนาดใหญ่เหมือนอย่างที่ Apple ออกแบบ MacBook ทั้งหมด เรื่องของวัสดุที่ใช้ทำเป็นพลาสติก (จับแล้วน่าจะเป็นวัสดุเดียวกันกับคีย์บอร์ด) ซึ่งจากการใช้จริงก็ถือว่าแข็งแรงใช้ได้ทีเดียว ?
ขอบจอ?MacBook Air?(Mid 2011)?จะมียางสีดำมารองรับเอาไว้โดยรอบ ที่ทำให้ขอบจอของเครื่องปิดสนิทและกันกระแทกจากแรงกดทับได้เป็นอย่างดี
ตรงกลางของขอบจอด้านล่างจะมีโลโก้ MacBook Air คิดอยู่อย่างสวยงามตามสไตล์ MacBook ทุกตัวของ Apple?
ข้อแตกต่างระหว่าง?MacBook Air?(Mid 2011)?ขนาด 11.6 นิ้ว กับขนาด 13.3 นิ้ว ที่เด่นๆ ก็คือ ขนาด 13.3 นิ้ว จะมีช่องการด์รีดเดอร์ SD Card ติดตั้งมาให้ เรียกได้ว่าสะดวกมากๆ สำหรับคนที่ต้องการใช้งาน SD Card บ่อยๆ และเพิ่มช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt เข้ามา?
อีกอย่างที่เรามองไม่เห็นจากตัวเครื่องโดยตรงก็คือ?Bluetooth เวอร์ชั่น 4.0 ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มระยะในการใช้งานกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงมีการใช้พลังงานที่ต่ำกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้อีกด้วย
เรื่องของความบางของตัวเครื่องจะเห็นว่าหนากว่า Apple iPhone 4 อยู่ไม่มากเท่าไหร่ ?โดยส่วนที่บางที่สุดมีความหนาเพียง 0.3 เซนติเมตร
และสำหรับส่วนที่หนาที่สุดของตัวเครื่องจะมีความหนาเพียง 1.7 เซนติเมตรเท่านั้น เรียกได้ว่ามีความบางมากๆ เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คแบบปกติทั่วไป?
ในเรื่องของน้ำหนัก?MacBook Air?(Mid 2011)?ถ้าตามสเปกของ Apple ที่ออกมานั้นจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.35 กิโลกรัม แต่เมื่อเราชั่งน้ำหนักจริงๆ จะมีความเบากว่าอยู่เล็กน้อย (อันนี้ไม่ต้องซีเรียสมากครับ เพราะอาจจะคลาดเคลื่อนอยู่นิดหน่อยอยู่แล้ว)
โดยลองทำการชั่งน้ำหนักตัวเครื่องกับสายชาร์จเมื่อจับมาชั่งรวมกันจะได้น้ำหนัก ประมาณหนึ่งกิโลกรัมกลางๆ เท่านั้น?
?
คีย์บอร์ดของ Apple MacBook นั้นจะเหมือนกันทั้งหมดในเรื่องของขนาดปุ่ม หน้าตาปุ่ม ที่ดูแล้วโล่งๆ สบายตา ซึ่งในส่วนของ?MacBook Air?(Mid 2011)?อาจจะรู้สึกได้ว่าความสูงของปุ่มต่ำกว่า MacBook Pro อยู่เล็กน้อย รวมไปถึงได้มีการเปลี่ยนแปลงไอคอนของปุ่มฟังก์ชั่นนิดหน่อย โดยจะมีปุ่ม Mission Control มาแทนปุ่ม Expos? เดิม ตามการใช้งานใน Mac OS X 10.7 Lion ?
ส่วนปุ่มของ Dashboard ได้มีการเปลี่ยนรูปไอคอนเล็กน้อย และที่น่าสนใจก็คือที่ด้านขวาเกือบสุดจะไม่มีปุ่มสำหรับฟังก์ชั่น Eject อีกต่อไป เรียกว่าตัดทิ้งกันไปเลย (เพราะต้องใช้พื้นที่สำหรับปุ่มหรี่ไฟใต้คีย์บอร์ด)
แต่โดยส่วนมากแล้ว ก็ยังคงเดิมเอาไว้อยู่?
สิ่งหนึ่งเลยที่ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจ และ Apple MacBook ควรต้องมีคือ คีย์บอร์ดไฟ?backlit หลังจากที่เคยเอาออกไปครั้งหนึ่งในรุ่นก่อนหน้านี้ ในครั้งนี้ Apple ได้นำกลับใส่ไว้ใน?MacBook Air?(Mid 2011))
ในส่วนของไฟสถานะ caps lock จะเป็นสีเขียว โดยตัวไฟเองก็จะอยู่ภายในปุ่ม
ทัดแพดของ MacBook นั้น ทาง Apple จะเรียกว่า Trackpad ซึ่งมีขนาดที่จัดได้ว่าใหญ่พอสมควร ที่ดูแล้วเหมือนไร้ปุ่มกด แต่จริงๆ แล้วจะมีปุ่มกดคลิกซ้ายคลิกขาวเช่นเดิม โดยใช้งานจริงถือว่าใช้งานได้เป็นอย่างดี ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วๆ ไปอย่างรู้สึกได้?และที่เหนือกว่านั้นคือสนับสนุนการใช้งานระบบมัลติทัช Gesture?ได้อย่างเต็มรูปแบบ ที่ตัวฮาร์ดแวร์และระบบปฏิบัติการเข้ากันได้เป็นอย่างดี